|
พระฮุงเจิ้นโจวซือ
พระฮุงเจิ้นโจวซือ หรือ โหงวโจ๊ว หรือ หง่อจ้อ หรือ ห่งยิ้มไต้ซือ หรือ พระฮวางยานมหาครูบา หรือ พระสังฆปรินายกองค์ที่ ๕ สมณศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานคือ ไท่โม่วเซียงซือ ฮุงเจิ้น ถือกำเนิดในครอบครัว แซ่โจว ที่เมืองหวงเหมยเคาตี้ บริเวณป่าผิงเหมา ทางทิศตะวันออกของภูเขายอดแฝด ใกล้กับสำนักพระซีโจ้วโจวซือ มณฑลหูเป่ย กล่าวกันว่า ชาติก่อนท่านปลูกต้นไม้ขายอยู่บริเวณเทือกเขาปั๋วไท่ซานใกล้กับภูเขายอดแฝด เมื่อแก่ชราลงไม่สามารถปลูกและตัดต้นไม้ขายได้ จึงมีความคิดหันหน้าเข้าวัดเพื่อศึกษาธรรมตามธรรมดาของผู้สูงอายุ ฮุงเจิ้นจึงเดินทางไปหาพระซีโจ้วโจวซือ นมัสการท่านเพื่อสนทนาธรรมด้วย พระซีโจ้วจึ่งว่าธรรมดาคนแก่จะมาศึกษาธรรมได้ไม่เท่าไรดอก แล้วจะไปสอนคนก็ได้ไม่นานสักเท่าไร เพราะสังขารร่างกายมันไม่อำนวยเสียแล้ว ขอให้รอไปชาติหน้าเถิด ท่านจะรอคอยที่จะสอนธรรมให้เอง เมื่อตาแก่ได้ฟังดังนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร กราบลาท่านเดินทางกลับ ขณะที่ตาแก่เดินถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง เห็นหญิงสาวสคราญกำลังสะละวนอยู่กับการซักผ้า ตาแก่จึงพูดขึ้นว่า ฉันจะขออาศัยอยู่สักพักจะได้ไหม หล่อนไม่เข้าใจคำถามจึงนิ่งเสีย ตาแก่จึงเดินเลยไป อยู่มาไม่นาน หญิงสาวผู้นั้นเกิดตั้งครรภ์ขึ้นโดยมิได้หลับนอนกับใคร ทำให้บิดามารดาของเธอโกรธมาก ถามสักเท่าไรเธอก็ปฏิเสธไม่ได้หลับนอนกับใครทั้งสิ้น บิดามารดาจึงไล่ออกจากบ้าน เธอจำใจต้องออกจากบ้านเดินทางไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ขอทำงานบ้านอาศัยเลี้ยงชีพไปวันๆ จนกระทั่งกำหนดคลอดเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักน่าใคร่แข็งแรง ในรัชสมัยฮ่องเต้สุยเหวินตี้(หยังเจียน)แห่งราชวงศ์สุย ในปีไคหวงที่ ๙ แต่บางตำนานว่า ในปีไคหวงที่ ๒๐ ข้างผู้เป็นแม่กลับไม่พอใจเพราะตนต้องมาระกำลำบากเพราะบุตรชายคนนี้แท้ๆ เธอจึงตัดสินใจเอาไปโยนลงในคลองแห่งหนึ่ง พอรุ่งสางเธอย้อนกลับไปดูที่คลองเพื่อดูว่าบุตรตายหรือยังหรือมีคนเอาไปเลี้ยงเสียแล้ว แต่เธอกลับเห็นบุตรกำลังลอยทวนน้ำและยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับเธอมาก จนเกิดความสงสารจึงลงไปเอาบุตรขึ้นจากคลองแล้วเอาไปเลี้ยงดูต่อไป เมื่อเด็กทารกได้เจริญวัยขึ้น ชอบไปวิ่งเล่นใกล้สำนักพระซีโจ้วโจวซือบ่อยๆ วันหนึ่งท่านซีโจ้วเดินออกมาจากสำนัก เจอเด็กชายน้อยเข้า จึงถามว่า เจ้าหนู แซ่อะไรล่ะ แต่เด็กน้อยเข้าใจว่าพระท่านถามว่า จิตคืออะไร เพราะคำว่าจิตกับคำว่าแซ่สำเนียงภาษาจีนใกล้กัน เด็กน้อยจึงตอบว่า จิตพระพุทธเจ้า พระซีโจ้วจึงถามอีกครั้งว่า ก็แซ่ของหนูน่ะ ไม่มีหรือ เด็กน้อยกลับตอบอีกว่า จิตจะมีตัวตนได้อย่างไร พระซีโจ้วจึงใคร่ครวญดูแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่า เด็กน้อยคนนี้ชะรอยคงจะเป็นตาแก่คนนั้นที่เคยมาหาและขอศึกษาธรรมจากตน แต่ตนบอกไปว่าแก่เกินไปที่จะศึกษาธรรม ขอให้ไปเกิดก่อนชาติหน้าจะสอนให้ ตอนนี้ตาแก่คงมาเกิดเป็นเด็กน้อยผู้นี้แน่นอนแล้ว ท่านจึงไปหามารดาของเด็กแล้วขอเอามาอุปถัมภ์เลี้ยงดูเป็นอย่างดี ให้บวชเป็นสามเณรศึกษาธรรมปฏิบัติ ซึ่งเด็กสามเณรทุกรูปในวัดจะต้องปฏิบัติในกิจวัตรประจำวันด้วย เช่น หาบน้ำ เข้าครัวทำกับข้าว ต้มข้าวต้ม หาบฟืน ผ่าฟืน ถูพื้น ทำความสะอาดหน้าแท่นบูชา ถูตะเกียง เช็ดองค์พระพุทธรูป จนเติบใหญ่ท่านสูงถึง ๘ ฟุต ตลอดทั้งชีวิตท่านไม่เคยรังแกเพื่อนสามเณรหรือพระด้วยกัน ท่านเงียบขรึม ถึงแม้จะทำงานหนักตลอดทั้งวัน แต่ช่วงกลางคืนท่านมิได้หลับนอน แต่นั่งสมาธิตลอด จนอายุถึงเกณฑ์อุปสมบท พระอาจารย์จึงทำพิธีอุปสมบทให้ และตั้งชื่อให้ว่า ฮุงเจิ้น พระภิกษุฮุงเจิ้นได้ศึกษาธรรมปฏิบัติอย่างลึกซึ้งและแสดงถึงแววแห่งความเป็นผู้มีบุญมาบวชอยู่เนืองๆเช่นเดียวกับพระซีโจ้วโจวซือ ต่อมาพระฮุงเจิ้นได้รับมอบของสำคัญสี่สิ่งจากพระซีโจ้วโจวซือ เพื่อแสดงให้รู้ว่าท่านจะต้องเป็นผู้นำทางพระพุทธศาสนาเพื่อเผยแผ่ให้กว้างขวางต่อไป หลังจากพระซีโจ้วโจวซือดับขันธ์แล้ว ท่านจึงเป็นสังฆปรินายกองค์ที่ ๕ เป็นพระหง่อโจ้วโจวซือ วันหนึ่งท่านต้องลงจากภูเขายอดแฝดเพื่อไปช่วยชาวบ้านที่ถูกพวกมองโกลกลุ่มหนึ่งส้องสุมผู้คนเป็นโจรปล้นสะดมภ์ชาวบ้าน ตัวหัวหน้าชื่อ เคอต้าฮานาลู่ พร้อมลูกน้องที่มีความเหี้ยมโหดขนาดนกตัวเล็กๆยังจับฆ่าเป็นว่าเล่น พระหง่อโจ้วเดินลงเขาไปหาพวกเขา ทั้งตัวหัวหน้าและลูกน้องต่างเห็นร่างและเปลวแสงสีสวยสดออกมาจากร่างพระหง่อโจ้ว เป็นรูปพระวัชระโพธิสัตว์ มีอาวุธเป็นแก้วเพชรนิลจินดา พวกตนต่างตกใจและยอมอ่อนน้อมละทิ้งความเป็นโจรหมดสิ้น ในปี พ.ศ. ๑๒๐๓ สมัยฮ่องเต้ถังเกาจง (หลี่จื้อ) แห่งราชวงศ์ถัง เป็นปีรัชกาลเสี่ยนเจิ้งที่ ๕ มีรับสั่งให้ขุนนางไปอาราธนาพระหง่อโจ้วโจวซือมายังพระราชวังหลวง แต่ท่านก็ปฏิเสธ สุดท้ายฮ่องเต้ได้รับสั่งให้ขุนนางนำเครื่องถวายไทยทานพระราชทานแด่ท่านซึ่งรวมถึงสมุนไพรอย่างดีหายากมาถวายท่านด้วย วันหนึ่งเมื่อท่านรู้กาลที่จะต้องดับขันธ์ ท่านจึงมอบให้บรรดาศิษย์เอกสร้างสถูปให้ท่าน และก่อนที่ท่านจะดับขันธ์สามปี ท่านได้มอบของสำคัญสี่สิ่งให้แก่พระฮุยเหนิงศิษย์เอก ในปี พ.ศ. ๑๒๑๗ สมัยฮ่องเต้ถังเกาจง ปีรัชกาลเสียนเฮิงที่ ๕ ท่านได้ประชุมสานุศิษย์แล้วให้ปัจฉิมโอวาท พร้อมทั้งมอบภารกิจในการเผยแผ่ธรรมแก่พระภิกษุศิษย์เอก ๑๐ ท่านให้กระจายไปทั่วทุกทิศ ซึ่งได้แก่ พระเฉินสุ้ย พระชีเสียน พระอี้ฝาง พระชีเต๋อ พระซวนชื่อ พระเล่าอัน พระฟาจู่ พระฮุยสาง พระซวนเหยา และอุบาสกหลิ่วซูปู ผู้ประสานงานและทำบัญชีในสำนัก พร้อมทั้งมอบภาระแห่งความเป็นผู้นำทางคณะสงฆ์ให้แก่พระฮุยเหนิง ผู้ที่จะเป็นสังฆปรินายกองค์ที่ ๖ ต่อไป แล้วท่านนั่งสมาธิดับขันธ์ในฌานสมาบัติ เมื่ออายุได้ ๗๔ ปี บางตำนานว่า ๘๕ ปี ตรงกับ พ.ศ. ๑๒๑๗ วันที่ ๑๔ ค่ำ เดือน ๒ ต่อหน้าบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ฮ่องเต้ถังเกาจงได้พระราชทานสมณศักดิ์ให้ว่า ไท่โม่วเซียงซือ แล้วนำพระศพบรรจุในพระสถูปหลวง ฮวบโหว ตำบลอึ้งบ๊วย เมืองกิโจว
: สมบูรณ์ แก่นตะเคียน ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๐
Title : Patriarch Hung Jen ; Fifth Chinese Patriarch of Mahayana.
: Somboon Kantakian
|
|
|