|
จางกั๋วเล่า
จางกั๋วเล่ามีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง เป็นคนแซ่จาง ชื่อตัวว่า กั๋ว ท่านกล่าวเองว่า ท่านถือกำเนิดในสมัย พระเจ้าตี้เหยา ประมาณก่อน พ.ศ. ๒๘๙๐ ถึง ๒๗๙๘ (ซึ่งเป็นหนึ่งในอู่ตี้หรือห้ามหาราชันย์ ) กล่าวกันว่าท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๒๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ตามจันทรคติจีน จากตำนานประวัติของจางกั๋วเล่า กล่าวไว้ว่า มีค้างคาวเผือกตัวหนึ่งเสพแต่แสงอาทิตย์และแสงจันทร์อยู่เป็นพันปี จนกลายเป็นเซียนสามารถแปลงร่างเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งอาศัยอยู่แถบภูเขาตงจาง แขวงเมืองเหิงโจว ผู้คนต่างเรียกท่านว่า จางกั๋วเล่า ท่านก็ยินดี เพราะ แปลว่า ผู้ชนะความแก่ จางกั๋วเล่ามีลาเผือกตัวหนึ่งเป็นพาหนะ จะไปที่ไหนก็ขี่ลาไป เมื่อถึงปลายทางก็เอาลามาพับเก็บเหมือนรูปลากระดาษ วิธีการขี่ลาก็ประหลาดคือ ขี่กลับหน้ากลับหลัง ผู้คนต่างกล่าวว่าจางกั๋วเล่าไม่แก่ไม่เฒ่าท่านได้อาศัยอยู่ที่ภูเขาจงเทียวหลายปี และมีผู้พบเห็นท่านที่ภูเขาใกล้เมืองเหิงโจวอีกด้วย
ในรัชสมัยฮ่องเต้ถังไท่จง ( หลี่ซื่อหมิน ) แห่งราชวงศ์ถัง ทรงครองราชย์ พ.ศ. ๑๑๗๐ ๑๑๙๒ ทรงมีรับสั่งให้ข้าหลวงไปตามจางกั๋วเล่าเข้าเฝ้าหลายครั้ง แต่ก็ไม่สมพระราชประสงค์ ด้วยท่านไม่อยากเฝ้าแหน เช่นเมื่อข้าหลวงไปเชิญท่าน ท่านก็แสดงอาการป่วยชักระตุกกระทันหันตายทันที พวกข้าหลวงก็ศพท่านไปฝัง
ถึงรัชสมัยพระนางอู่เจ๋อเทียน ( บูเช็กเทียน ) ทรงครองราชย์สมบัติระหว่าง พ.ศ. ๑๒๒๗ ๑๒๔๘ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ไปตามจางกั๋วเล่ามาเฝ้า ข้าหลวงจึงไปเชิญมาพอถึงศาลเจ้าโกวหนึง ท่านก็ล้มลงชักตายทันใด ช่วงนั้นเป็นฤดูร้อน ปรากฏว่า ศพขึ้นอืดเร็วกว่าปกติมีหนอนแมลงวันเต็มไปหมด ข้าหลวงจึงรีบนำเอาไปฝัง แล้วรีบเข้าเมืองหลวงฉางอานเพื่อกราบบังคมทูลให้ทรงทราบตามที่ได้พบเห็น แต่ในไม่ช้ามีคนเห็นจางกั๋วเล่าเดินอยู่แถบชายป่า
รัชสมัยฮ่องเต้ถังเสวียนจง ( หลี่หลงจี ) ทรงครองราชย์ พ.ศ. ๑๒๕๕ ๑๒๙๙ ในปีไคหยวน ( พ.ศ. ๑๒๕๖ ๑๒๘๔ ) ทรงมีรับสั่งให้ข้าหลวงชื่อ
ปวยหวาไปเชิญกั๋วเล่าให้มาเฝ้า เมื่อข้าหลวงไปถึงเมืองเหิงโจว พบกั๋วเล่ากำลังชักดิ้นชักงอสิ้นลมทันใด ข้าหลวงจึงจัดการเอาศพใส่โลงแล้วอ่านหนังสือรับสั่ง กั๋วเล่าค่อยๆฟื้นขึ้นแต่ไม่สามารถจะไปเข้าเฝ้ากับพวกข้าหลวงได้ พวกข้าหลวงจึงกลับไปกราบทูลให้ทรงทราบ
ต่อมาฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ขุนนางสองคนคือ ซื่ออวี้กับหลูตง ให้ไปเชิญกั๋วเล่ามาเข้าเฝ้าอีก จางกั๋วเล่าเห็นว่าฮ่องเต้ได้ไปเชิญหลายครั้งแล้ว แสดงว่าทรงมีความเชื่อถือตนจริง จึงได้เดินทางเข้าเมืองฉางอาน โปรดฯให้จางกั๋วเล่าพักที่อาคารที่พักของพวกปุโรหิต ในขณะที่พวกขุนนางเฝ้าแหน ทรงมีรับสั่งถึงเรื่องเซียน แต่จางกั๋วเล่าก็นิ่งเสีย
วันหนึ่งโปรดฯให้มีการเลี้ยงพวกขุนนางผู้ใหญ่ ฮ่องเต้พระราชทานสุราให้จางกั๋วเล่า แต่ท่านปฏิเสธพร้อมกับกราบทูลว่า ท่านมีศิษย์คนหนึ่งดึ่มสุราได้เพียงหนึ่งถังเท่านั้น หากดึ่มมากกว่านี้ เกรงว่าพระองค์จะทรงพระสรวลเอา พระองค์จึงให้รีบตามศิษย์คนนั้นมาพร้อมรับสั่งให้เตรียมสุราไว้ด้วย ทันใดนั้นศิษย์เด็กน้อยเป็นเต้าหยินก็ปรากฏหลังม่าน แล้วให้ยกสุราถังหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ เต้าหยินน้อยจึงยกสุราทั้งถังขึ้นดึ่มรวดเดียวหมด แล้วทรงให้ยกออกมาอีก เต้าหยินน้อยก็ยกขึ้นดึ่มจนเกินกำลัง ทำให้สมองทะลุสุราไหลทะลักออกมาเต็มพื้น เต้าหยินน้อยก็ล้มลงกลิ้งไป กลายเป็นถังสุราทองคำที่ตนเคยได้รับพระราชทานมาก่อน ทรงเห็นดังนั้นจึงทรงพระสรวลชอบพระทัย และเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า จางกั๋วเล่าคือ ผู้วิเศษ
นอกจากนี้ยังทรงให้จางกั๋วเล่าแสดงอิทธิฤทธิ์อีก จางกั๋วเล่าจึงร่ายมนตร์เรียกนกนานาชนิดมารวมทั้งหงส์ด้วย แล้วยังร่ายมนตร์ให้ดอกไม้บานหอมไปทั้งเมือง ทรงอยากเห็นอะไรจางกั๋วเล่าก็สามารถเสกให้ทอดพระเนตรได้ทั้งสิ้น
เมื่อถึงฤดูหนาว จางกั๋วเล่าได้รับพระราชทานสุราเสพจนมึนเมา จนเห็นไปว่าไม่ใช่สุราอย่างดีจึงทำให้ฟันเปราะ ท่านจึงให้คนใช้ไปหยิบยู่อี่สำหรับถือเข้าเฝ้าประจำตำแหน่งมาฝนกับยาแล้วเอาถูฟัน จนฟันขาวดุจหยกดังเดิม
วันหนึ่งเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ ได้กวางมาตัวหนึ่ง จึงโปรดฯให้พนักงานห้องเครื่องจัดการเอากวางไปทำอาหารมาเสวยและพระราชทานเลี้ยงผู้ติดตาม จางกั๋วเล่าซึ่งเข้าเฝ้าอยู่ในที่นั้นด้วย จึงกราบทูลว่า กวางตัวนี้เป็นพาหนะของเซียนอายุยืนเป็นพันปี ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น คือ ฮ่องเต้ฮั่นอู่ตี้ ( หลิวเฉ่อ ) ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๔๐๓ ๔๖๖ ได้เสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ เมื่อ พ.ศ. ๔๒๘ พวกบริพารจับได้กวางตัวนี้ พระองค์โปรดฯให้ปล่อยเสีย ด้วยทรงเมตตา ซึ่งเป็นพระคุณแก่กวางและเซียนผู้เป็นเจ้าของยิ่งนัก พระองค์จึงตรัสว่าตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นมาถึงขณะนี้ก็เป็นเวลาช้านาน ประมาณว่ากว่า ๗๐๐ ปีแล้ว และได้มีการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์หลายครั้ง จางกั๋วเล่ามีหลักฐานอะไรจึงพูดเช่นนั้น กั๋วเล่าจึ่งว่า กวางตัวนั้นมีป้ายทองเหลืองแขวนอยู่ที่เขาอันหนึ่ง เมื่อพวกตามเสด็จตรวจดูปรากฏว่ามีจริง แต่ตัวอักษรได้ลบเลอะเลือนอ่านไม่ออก จึงโปรดฯให้ปล่อยกวางตัวนั้นไป แล้วจึงตรัสถามจางกั๋วเล่าว่า ปีนั้นเป็นปีใด จางกั๋วเล่าจึงกราบทูลถึงวันเดือนปีว่านับแต่นั้นมาได้ ๘๕๒ ปีแล้ว จึงรับสั่งให้โหรหลวงตรวจดู ปรากฏว่าตรงกัน ตั้งแต่นั้นมาฮ่องเต้เสวียนจงทรงเชื่อถือจางกั๋วเล่ามาก
ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ เอวียนหัวเซียน ชอบปฏิบัติธรรมเคร่งครัดเป็นไต้ซือถือบวชกินเจ ได้ศึกษาเล่าเรียนเวทมนตร์จากเซียนสององค์จนชำนาญ เมื่อราษฎรได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ จึงอาสาไปปราบพวกภูตผีปีศาจเหล่านั้นจนไม่กล้ามารบกวนอีก จนทราบถึงพระกรรณ ฮ่องเต้จึงโปรดฯให้รับราชการที่เมืองหลวง เขาปฏิเสธแต่ขอพักอยู่ในเมืองหลวงฉางอาน ขณะนั้นจางกั๋วเล่าเฝ้าอยู่หน้าพระที่นั่งด้วย จึงตรัสถามเอวียนหัวเซียนว่า จางกั๋วเล่าเป็นคนหรือเป็นเซียน เอวียนหัวเซียนจึงกราบทูลว่าหากตนพูดความจริงออกไป ร่างกายของตนก็จะบังเกิดบิดเบี้ยวน่าขยะแขยงเจ็บปวดทรมานมาก จนกว่าพระองค์จะเสด็จไปหาจางกั๋วเล่าโดยจะต้องทรงถอดมงกุฎและฉลองพระบาทออกก่อนแล้วทรงขอโทษจางกั๋วเล่า ตนจึงจะหายเป็นปกติ พระองค์ก็ตกปากรับคำตามที่ขอ เอวียนหัวเซียนจึงเริ่มเล่าว่า สมัยโบราณหลายพันปีมาแล้วมีค้างคาวเผือกตัวหนึ่งเสพแต่แสงอาทิตย์แสงจันทร์ จนสามารถแปลงกายมาเป็นมนุษย์ได้ คือจางกั๋วเล่า เท่านั้นแหละเขาก็ล้มลงตึงชักกระตุกเลือดไหลออกมาตามทวารต่างๆ เมื่อเห็นดังนั้นพระองค์จึงทรงรีบถอดมงกฎออกพร้อมทรงถอดฉลองพระบาทเสด็จเข้าไปหาจางกั๋วเล่า พร้อมทรงขอโทษแทนเอวียนหัวเซียน จางกั๋วเล่าจึงเสกเวทมนตร์เป่าไปที่ร่างของเอวียนหัวเซียน จนกลับคืนเป็นปกติ ตั้งแต่นั้นมาพระองค์ทรงโปรดฯจางกั๋วเล่ามาก ทรงตั้งให้เป็น เต้าหยินซงเหียนผู้ยิ่งใหญ่ และโปรดฯให้จิตรกรหลวงวาดภาพจางกั๋วเล่าประดับไว้ที่ จิบเฮียนอี้ และในปีไคหยวนที่ ๒๓ พ.ศ. ๑๒๗๘ ฮ่องเต้ถังเสวียนจง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จางกั๋วเล่าดำรงตำแหน่ง ขุนนางอาวุโสผู้ถือตราประทับเงินและริบบิ้นสีน้ำเงินรับผิดชอบสภาขุนนางของฮ่องเต้
ต่อมาจางกั๋วเล่าถวายบังคมลากลับไปยังเมืองเหิงโจว ในปี พ.ศ. ๑๒๘๕ ทรงมีรับสั่งให้จางกั๋วเล่าเข้าเฝ้า พวกข้าหลวงจึงเดินทางไปยังที่พักของท่านที่เมืองเหิงโจว แต่บังเอิญในขณะนั้นท่านป่วยหนักและถึงแก่อสัญกรรมอย่างกระทันหัน พวกข้าหลวงจึงจัดการนำศพใส่โลงเอาไปฝัง ก่อนฝังต่างสงสัยกันว่าทำไมโลงถึงเบากว่าปกติ จึงเปิดฝาโลงออกดู ปรากฏว่ามีแต่โลงเปล่า คณะเซียนได้มารับจางกั๋วเล่าไปเข้าเฝ้าไท่ซังเล่าจุนที่เขาหัวซาน และได้รับแต่งตั้งเป็นเซียนจางกั๋วเล่าองค์ที่ ๔
โป๊ยเซียนเป็นเทพแห่งโชคลาภและความร่ำรวย จางกั๋วเล่าเป็นเซียนแห่งความมั่นคง ความมีอายุยืน สุขภาพดี จิตรกร
: สมบูรณ์ แก่นตะเคียน ๒๑ มกราคม ๒๕๕๐
Title : Zhang Guo - Lao : One of the Eight Immortals.
: Somboon Kantakian
|
|
|